วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ประเทศเยอรมันนีที่น่าไปอีกประเทศ

                             
                                ประเทศเยอรมัน


              



ลักษณะภูมิประเทศและที่ตั้ง
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี หรือเรียกสั้นๆ ว่าเยอรมันหรือเยอรมนี ตั้งอยู่ใจกลางทวีปยุโรป ล้อมรอบด้วยประเทศเพื่อนบ้านถึง 9 ประเทศ คือเดนมาร์กอยู่ทางเหนือเนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ลักเซมเบิร์กและฝรั่งเศสอยู่ทางตะวันตก สวิตเซอร์แลนด์และออสเตรียอยู่ทางใต้ สาธารณรัฐเชคและโปแลนด์อยู่ทางตะวันออก นับเป็นประเทศยุโรปที่มีจำนวนเพื่อนบ้านมากที่สุด นับตั้งแต่มีการรวมประเทศในปี ค.ศ. 1990 เยอรมันกลายเป็นประเทศสำคัญที่ไม่เพียงแต่เป็นตัวเชื่อมยุโรปตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน แต่ยังเชื่อมประเทศทางตอนเหนือ คือ กลุ่มสแกนดิเนเวียกับกลุ่มประเทศทางตอนใต้ ซึ่งอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนอีกด้วย เนื่องจากเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรป เยอรมันจึงเป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างประเทศในยุโรปตอนกลางและยุโรปตะวันออก ยิ่งกว่านั้นการที่มีที่ตั้งอยู่ใจกลางทวีปยุโรป ยังทำให้เยอรมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการท่องเที่ยวแถบนี้ เยอรมันมีพื้นที่ประมาณ 357,000 ตารางกิโลเมตร พรมแดนทางตอนเหนือของประเทศติดกับฝั่งทะเลเหนือ (North Sea) และทะเลบัลติค ทางตอนใต้จรดเทือกเขาแอลป์ในบาวาเรียน ระยะทางส่วนที่ยาวที่สุดจากเหนือจรดใต้ประมาณ 876 กิโลเมตร จากตะวันตกไปตะวันออกประมาณ 640 กิโลเมตร ภูมิประเทศของเยอรมันมีทิวทัศน์งดงามแตกต่างกันไปหลายรูปแบบ ทั้งเทือกเขาสูงต่ำสลับกับที่ราบสูงและพื้นที่ลดหลั่นเป็นชั้น เนินเขาทะเลสาปตลอดจนที่ราบโล่งกว้างใหญ่ ทางตอนเหนือเป็นแนวชายฝั่งทะเลเต็มไปด้วยเกาะแก่ง ทะเลสาบ ท้องทุ่งที่มีพุ่มไม้ปกคลุม เนินทราย และบริเวณปากแม่น้ำที่สวยงาม ส่วนทางตอนใต้แถบที่ราบสูงชวาเบียน-บาวา เรียงเต็มไปด้วยเนินเขาและทะเลสาปขนาดใหญ่ มีบริเวณครอบคลุมถึงเทือกเขาแอลป์ในส่วนของเยอรมัน
แอลป์ในส่วนของเยอรมัน
ลักษณะภูมิอากาศและฤดูกาล ลักษณะอากาศของเยอรมันเป็นแบบค่อนข้างไปทางหนาวเย็น มี 4 ฤดู คือ ฤดูร้อน (มิถุนายน สิงหาคม) อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 18 20 องศาเซลเซียส แต่อาจจะสูงขึ้นถึง 30 องศา หรือสูงกว่า ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน พฤศจิกายน) อากาศจะเย็นลงและมีฝน ใบไม้จะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองบ้าง สีแดงบ้างดูสวยงาม ฤดูหนาว (ธันวาคม กุมภาพันธ์) อุณหภูมิจะอยู่ระหว่าง 5 องศา ถึง ลบ 5 องศาเซลเซียส โดยจะมีหิมะตกบ้าง ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม พฤษภาคม) อากาศจะอุ่นขึ้น ดอกไม้เริ่มบานและต้นไม้จะแตกใบอ่อน นำความเขียวขจีกลับมาอีกครั้ง เวลา การแบ่งเวลาของเยอรมันเป็นแบบยุโรปตอนกลาง ซึ่งเวลาจะช้ากว่าประเทศไทย 6 ชม. ระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม ส่วนในช่วงฤดูร้อนระหว่างเดือนเมษายนถึงตุลาคม เวลาจะช้ากว่าประเทศไทย 5 ชม. ประชากร เยอรมันมีประชากรประมาณ 82 ล้านคน ซึ่งมากเป็นอันดับสองรองจากรัสเซีย ในจำนวนนี้ 7.3 ล้านคน เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานอพยพมาจากตุรกี ยุโรปตอนใต้และยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ โดยเริ่มเข้ามาตั้งแต่ช่วงหลัง ค.ศ.1960 ซึ่งนับมาถึงปัจจุบันก็เป็นรุ่นที่ 2 และ 3 แล้ว ชาวเยอรมันสืบเชื้อสายมาจากเผ่าพันธุ์เยอรมันดั้งเดิมหลายเผ่า เช่น เผ่าซัคเซน และบาวาเรียน ซึ่งปัจจุบันเราจะไม่เห็นความแตกต่างนี้แล้ว แต่ยังมีคนเยอรมันบางกลุ่มที่ยังรักษาขนบธรรมเนียมและพูดภาษาเผ่าดั้งเดิมของตน โดยใช้เป็นภาษาถิ่นต่างๆ กันไป การหลั่งไหลเข้ามาของชาวต่างชาติก่อให้เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมในเยอรมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามเมืองใหญ่ๆ เยอรมันเป็นสังคมเปิด กล่าวคือ ยอมรับผู้คนซึ่งอพยพเข้ามาหาที่หลบภัยและผู้อพยพหนีสงคราม การให้มีการเปิดเสรีสำหรับผู้ใช้แรงงาน การเป็นกลุ่มผู้นำ ต่อสู้เพื่อเสรีภาพในการประกอบอาชีพและเลือกถิ่นที่อยู่ภายในสหภาพยุโรป ศาสนา ชาวเยอรมันกว่า 55 ล้านคนนับถือศาสนาคริสต์นิกายต่างๆ โดยมีนิกายโปแตสแตนท์ มีผู้นับถือประมาณ 27.6 ล้านคน นิกายโรมันคาทอลิก 27.5 ล้านคน เยอรมันไม่มีศาสนาประจำชาติ การมีแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงาน ทำให้มีชุมชนที่นับถือศาสนาอื่นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาอิสลาม ซึ่งมีผู้นับถือศาสนาอิสลามในเยอรมันประมาณ 2.6 ล้านคน จาก 41 ชาติทั่วโลก นอกจากนั้นก็มีผู้นับถือศาสนายิว ฮินดู และพุทธ ระบบการเมือง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อระบบเผด็จการนาซีล่มสลาย มีการแบ่งเยอรมันออกเป็น 2 ประเทศในปี ค.ศ.1949 คือ เยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออก (ซึ่งประเทศทั้ง 2 ได้รวมเป็นเอกภาพเมื่อปี ค.ศ. 1990) ประกอบด้วยประธานาธิบดีสหพันธ์ (President) มีรัฐสภาซึ่งแบ่งเป็น สภาสูง (Bundestag) และสภาล่าง (Bundesrat) หัวหน้ารัฐบาลคือนายกรัฐมนตรี (Chancellor) สิ่งที่น่าภาคภูมิใจในรัฐธรรมนูญเยอรมันก็คือ การระบุความสำคัญของสิทธิพื้นฐาน คนเยอรมันนับถือในเกียรติของความเป็นมนุษย์ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเยอรมันไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดก็ตามสามารถเรียกร้องสิทธิพื้นฐานตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ เช่น เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในทรัพย์สิน และเสรีภาพทางหนังสือพิมพ์ การเผยแพร่ข่าวของสื่อมวลชนแขนงต่างๆ จะทำได้โดยไม่มีการเซ็นเซอร์จากเจ้าหน้าที่ของรัฐ เยอรมันเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่วมก่อตั้งสหภาพยุโรปและการออกเงินตราของสหภาพยุโรป และเป็นสมาชิกขององค์กรนาโต้ (NATO) ในปี ค.ศ. 1990 เยอรมันตะวันออกซึ่งมีชื่อเป็นทางการว่า สาธารณรัฐประชาธิปไตยเยอรมัน และปกครองแบบสังคมนิยมได้รวมประเทศเข้ากับเยอรมันตะวันตกกลายเป็น สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมันในปัจจุบัน การปกครอง สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ประกอบด้วย 16 รัฐ คือ บาเดน-เวือร์เทมแบร์ก บาวาเรีย เบอร์ลิน บรันเดนบวร์ก เบรเมน ฮัมบวร์ก เฮลเซน นีเดอร์ซัคเซน เมคเคลนบวร์ก-ฟอร์พอมเมิร์น นอร์ดไรน์-เวสท์ฟาเลน ไรน์ลันฟัลส์ ซาร์ลันด์ ซัคเซน ซัคเซน-อันฮัลท์ ชเลสวิก-โฮลชไตน์ และเธือริงเงน แต่ละรัฐมีรัฐธรรมนูญเป็นของตนเอง โดยสภาผู้แทนแห่งรัฐมาจากการได้รับเลือกตั้งของสมาชิกพรรคต่างๆ ในรัฐนั้นๆ และสามารถออกกฎหมายใช้เองภายในรัฐได้ เช่น ระบบการศึกษารวมถึงระดับอุดมศึกษาอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของแต่ละรัฐ เมืองที่น่ารู้จัก คนเยอรมัน 26 ล้านคนหรือประมาณ 1 ใน 3 ของประชากร อาศัยอยู่ใน 86 เมืองใหญ่ๆ ซึ่งประชากรกว่า 100,000 คนขึ้นไป ศูนย์กลางในทางเศรษฐกิจวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมจึงไม่ได้จำกัดอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งเพียงแห่งเดียว โรงภาพยนตร์ โรงละคร โรงแสดงคอนเสิร์ต พิพิธภัณฑ์ สถาบันศิลปะ ห้องสมุด มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ศูนย์การค้า จะมีหลากหลายกระจายอยู่ตามเมืองต่างๆ และแต่ละเมืองจะมีลักษณะเฉพาะของตน กรุงเบอร์ลิน(Berlin) เมืองหลวงของประเทศตั้งแต่ปี ค.ศ.1990 เป็นเมืองใหญ่สุด มีประชากร 3.5 ล้านคน เป็นศูนย์กลางทางการเมืองและวัฒนธรรม มีโรงละคร โรงแสดงคอนเสิร์ตวงดนตรีขนาดใหญ่ที่เรียกว่า วงออเคสตร้า พิพิธภัณฑ์ และเวทีแสดงศิลปะและดนตรีที่มีชื่อเสียง มีสถานศึกษาระดับมหาวิทยาลัย 11 แห่ง วิทยาลัยศิลปะและดนตรีอีก 6 แห่ง นับเป็นเมืองที่มีสถาบันอุดมศึกษามากที่สุดในเยอรมัน ฮัมบวร์ก(Hamburg) เป็นเมืองท่าเรือสำคัญ มีประชากร 1.7 ล้านคน 15 เปอร์เซ็นต์ของประชากรเป็นชาวต่างชาติ เมืองนี้จึงมีบรรยากาศของความเป็นสากล นอกจากนี้ยังเป็นเมืองศูนย์กลางการสื่อสารมวลชน ผลิตหนังสือพิมพ์และนิตยสาร 17 ใน 24 ฉบับของเยอรมันที่มียอดจำหน่ายกว่า 1 ล้าน มีมหาวิทยาลัย 3 แห่ง และสถาบันการศึกษาระดับสูงอีกหลายสถาบัน มิวนิค(München) เมืองมิวนิคเป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรีย มีประชากรประมาณ 1.3 ล้านคน เป็นเมืองที่มีหอศิลปะ สวนสาธารณะ และพิพิธภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง งานมหกรรมใหญ่ประจำปีที่ทั่วโลกรู้จักคือ Oktoberfest เป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่ของบริษัทที่มีชื่อเสียง เช่น BMW และ ซีเมนส์ บริษัทที่ผลิตสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง และสถาบันวิจัยอีกหลายแห่ง มีมหาวิทยาลัย 3 แห่ง และสถาบันการศึกษาระดับสูงอีก 8 แห่ง แฟรงค์เฟิร์ต ไมน์ (Frankfurt) ประตูสู่ยุโรป เป็นศูนย์กลางท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมัน มีประชากร 650,000 คน เป็นแหล่งการเงินนานาชาติและตลาดหลักทรัพย์ ธนาคารกลางของยุโรป สำนักงานใหญ่ของธนาคารหลายแห่งอยู่ที่เมืองนี้ รวมทั้งเป็นที่ตั้งของหอสมุดแห่งชาติและงานแสดงหนังสือนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก โคโลญจ์ เมืองนี้ประกอบด้วยโบสถ์สวยงามมากมาย มีประชากรประมาณ 1,000,000 คน เป็นเมืองเก่ากว่า 2,000 ปี และยังเป็นศูนย์กลางศิลปะ ดนตรี ร่วมสมัย มหาวิทยาลัยโคโลญจ์ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1388 ปัจจุบันมีนักศึกษามหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาระดับสูงอื่น ๆ อยู่เกือบแสนคน ไลป์ซิก(Leipzig) มีประชากรประมาณ 470,000 คน เคยเป็นเมืองสำคัญสำหรับจัดงานแสดงสินค้ามาหลายร้อยปีแล้ว เมื่อมีการรวมประเทศ เมืองนี้จึงกลับมามีบทบาทสำคัญทางการค้ากับทั่วโลกมากขึ้น มหาวิทยาลัยของเมืองนี้ ก่อตั้งมากว่า 600 ปี และเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่ง บอนน์ (Bonn) มีประชากรประมาณ 300,000 คน เคยเป็นเมืองหลวงของเยอรมันตะวันตก แม้ว่าหลังการร่วมประเทศ เมื่อปี ค.ศ.1990 เบอร์ลินจะกลายเป็นเมืองหลวงของประเทศ แต่สถานที่ราชการหลายแห่งยังคงอยู่ที่เมืองนี้ รวมทั้งองค์กร และสถาบันต่าง ๆ เช่น องค์กรแลกเปลี่ยนทางวิชาการ (German Academic Exchange Service) และสภาวิจัยของเยอรมัน (DFG) มหาวิทยาลัยของเมืองนี้มีนักศึกษาประมาณ 40,000 คน เมืองที่น่าสนใจอื่นๆ มีอีกหลายเมือง เช่น ฮันโนเวอร์ (Hannover) ซึ่งมีชื่อเสียงด้านการแสดงสินค้าอุตสาหกรรม, สตุ๊ทการ์ท (Stuttgart) ซึ่งมีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และเมืองไวมาร์ (Weimar) ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

ระบบการศึกษา ในปัจจุบันมีจำนวนนักเรียนนักศึกษาทั้งหมด ประมาณ 12.6 ล้านคน ที่ประเทศมีครูอาจารย์ทั้งหมด ประมาณ 780,000 คน ตามที่โรงเรียนสถานศึกษากว่า 52,000 แห่งในเยอรมัน การศึกษาภาคบังคับเริ่มตั้งแต่อายุ 6 18 ปี รวมการศึกษาภาคบังคับทั้งหมด 12 ปี ซึ่งนักเรียนจำเป็นต้องเรียนหลักสูตรภาคบังคับแบบเต็มเวลานี้อย่างน้อย 9 ปี (ในบางรัฐ 10 ปี) หลังจากนั้นนักเรียนสามารถเลือกเรียนหลักสูตรสายอาชีพหรือฝึกงาน ซึ่งเป็นการเรียนแบบไม่เต็มเวลาได้ โรงเรียนเอกชนในเยอรมันมีไม่กี่แห่งที่ดำเนินการโดยนักสอนศาสนา โรงเรียนส่วนใหญ่เป็นโรงเรียนรัฐบาล เรียนฟรีไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน หนังสือและตำราเรียนมักมีให้นักเรียนยืมไม่ต้องซื้อ แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้ของส่วนตัวก็จะให้ผู้ปกครองบริจาคเงินตามกำลังทรัพย์ที่มี เมื่อนักเรียนอายุ 6 ปี จะเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาเป็นเวลา 4 ปี หลังจากจบประถมศึกษาแล้วจึงศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษา แบ่งเป็น 4 ประเภทด้วยกัน Secondary General School (Houptschule) เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ให้การศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป วิชาที่สอน ได้แก่ ภาษาเยอรมัน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ธรรมชาติ สังคมวิทยา ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) และวิชาแนะนำวิชาชีพ เวลาเรียน 6 ปี หลังจบนักเรียนจะได้รับใบประกาศนียบัตรเพื่อเป็นประตูสู่การศึกษาสายวิชาชีพ Intermediate School (Realschule) เป็นโรงเรียนที่อยู่ระหว่างโรงเรียนมัธยมศึกษาที่ให้การศึกษาวิชาพื้นฐานทั่วไป (Secondary General School) กับโรงเรียนมัธยมศึกษาที่เน้นวิชาการ (Grammar School) หลักสูตรส่วนใหญ่จะเน้น วิชาพื้นฐานทั่วไป หลังจบหลักสูตร 6 ปี แล้วจะได้ประกาศนียบัตรเพื่อศึกษาต่อไปในระดับที่สูงขึ้น เช่น โรงเรียนอาชีวะ ที่ต้องเรียนเต็มเวลา ประมาณ 40% ของผู้จบโรงเรียนมัธยมจะได้ประกาศนียบัตรแบบนี้ Grammar School (Gymnasium) เป็นการศึกษาระดับมัธยมศึกษา 9 ปี เป็นการเรียนการสอนที่เน้นวิชาการ และเมื่อเรียนในระดับ เกรด 11 13 วิธีการเรียนจะแบ่งเป็นการเลือกกลุ่มวิชา (Course) ที่ถนัด เพื่อเน้นบางสาขาวิชาโดยเฉพาะ เพื่อเตรียมตัวเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหลังจากจบเกรด 13 แล้ว Comprehensive School (Gesamtshule) เป็นการผสมผสานการเรียนการสอนของโรงเรียนมัธยมทั้ง 3 ประเภท เข้าด้วยกันภายใต้การบริหารหนึ่งเดียว นักเรียนเริ่มเรียนตั้งแต่เกรด 5 ถึง เกรด 10 และจะเริ่มเรียนวิชาเฉพาะทาง ในระดับเกรด 7 บางกลุ่มวิชาจะมีการแบ่งการเรียนออกเป็นกว่า 11 ระดับ แล้วแต่ความยากง่าย ข้อมูลทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับการศึกษาระดับสูง วิทยาศาสตร์ การวิจัยค้นคว้า และการศึกษาในเยอรมันมีการสืบทอดต่อเนื่องกันมายาวนาน สถานศึกษาหลายแห่งในเยอรมัน มีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปกว่าหลายศตวรรษ มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในเยอรมันอยู่ที่เมืองไฮเดลแบรก์ (Heldelberg) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1386 ก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง มหาวิทยาลัยในเยอรมันเป็นผู้นำด้านวิทยาศาสตร์และมนุษยศาสตร์ หลังสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมันหันมาพัฒนาการศึกษาและการวิจัยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการรวมประเทศ มีมหาวิทยาลัยเกือบ 120 แห่ง และสถาบันเทียบเท่ามหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยเทคนิค มากกว่า 200 แห่ง กระจายทั่วประเทศ นอกจากนั้นยังมีสถาบันการศึกษาชั้นสูง เช่น มหาวิทยาลัยเน้นภาคปฏิบัติ (Fachhochschule) มหาวิทยาลัยศิลปะการดนตรีและภาพยนตร์ เป็นต้น สถาบันการศึกษาระดับสูงส่วนใหญ่เป็นของรัฐบาล มีไม่กี่แห่งที่ดำเนินการโดยนักสอนศาสนาคริสต์และกองทุนเอกชน ซึ่งเป็นสถาบันที่สอนด้านเทคโนโลยี กฎหมาย และบริหารธุรกิจ สถาบันการศึกษาของรัฐบาลเปิดรับนักศึกษาทุกเชื้อชาติเรียนฟรี ไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน แม้กระทั่งนักศึกษาเยอรมันก็ได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียนโดยรัฐบาลเยอรมัน จากจำนวนนักศึกษาทั้งหมดเกือบ 2 ล้านคนในสถาบันอุดมศึกษาในเยอรมัน มีนักศึกษาประมาณ 140,000 คน ที่มาจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก นักศึกษาต่างชาติประมาณ 9,400 กว่าคน กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีสาขาต่างๆ ประมาณ 1,600 คน ศึกษาในหลักสูตรพิเศษเฉพาะทางและในระดับปริญญาเอกมีประมาณ 2,700 คน สำหรับหลักสูตรนานาชาติที่นักศึกษาสนใจเรียนเป็นพิเศษมีมากกว่า 500 หลักสูตร ที่สอนเป็นภาษาอังกฤษบางส่วนหรือสอนเป็นภาษาอังกฤษ ตลอดทั้งหลักสูตรและมีโครงสร้างตามระบบการเรียนการสอนของมหาวิทยาลัยอังกฤษ-อเมริกัน

ค่าเล่าเรียน เนื่องจากสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่สนับสนุนโดยรัฐ สถาบันการศึกษาจึงไม่เก็บค่าเล่าเรียน รวมทั้งนักศึกษาต่างชาติด้วย แต่อาจมีบางสาขาวิชาของมหาวิทยาลัยของรัฐที่มีการเรียกเก็บค่าเรียน ซึ่งจะมีตั้งแต่ภาคเรียนละ 10,000 บาท ไปจนถึง 180,000 บาท สำหรับมหาวิทยาลัยเอกชน ค่าเล่าเรียนอาจจะสูงถึง 300,000 บาทต่อภาคเรียน ในส่วนที่ไม่เกี่ยวกับค่าเล่าเรียนนั้น มหาวิทยาลัยเยอรมันเก็บค่าธรรมเนียม (Administrative Fee) ซึ่งเป็นจำนวนไม่มากนัก และอาจจะรวมค่าตั๋วโดยสารประจำทางด้วย ค่าธรรมเนียมนี้จะประมาณ 1,000 4,000 บาท ต่อภาคเรียน ซึ่งอาจจะสอบถามได้จากมหาวิทยาลัยโดยตรง ค่าครองชีพ ค่าครองชีพของนักศึกษาต่างชาติในเยอรมันจะเป็นคนละประมาณ 25,000 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งจะรวมค่าอาหาร ค่าที่พัก ค่าประกันสุขภาพ ค่าหนังสือ และค่าพักผ่อนหย่อนใจ นักศึกษาทุกคนต้องมีประกันสุขภาพ ซึ่งมีอัตราพิเศษสำหรับนักศึกษาต่างชาติ สำหรับผู้ที่อายุไม่เกิน 30 ปี จะอยู่ในโครงการประกันแบบอื่น ส่วนผู้ที่มีอาการป่วยโรคเรื้อรังบางอย่าง จะต้องอยู่ในโครงการประกันสุขภาพที่พิเศษแตกต่างออกไป

ศุลกากร สามารถจะนำเงินหรืออื่นๆ ที่ใช้แทนเงินสดเข้าเยอรมนีได้ โดยมีมูลค่าไม่เกิน 15,000 ยูโร ของขวัญ อาหารไม่ต้องเสียภาษี หากนำเข้าในปริมาณที่เหมาะสม และเป็นไปเพื่อการบริโภคโดยส่วนตัว การนำเข้าเหล้า บุหรี่ น้ำหอม จากประเทศในกลุ่ม EU เป็นไปโดยเสรี แต่อาจจะต้องพิสูจน์ว่านำมาเพื่อใช้บริโภคส่วนตัว คนไทยในเยอรมนี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 คนไทยที่มีถิ่นพำนักอยู่อย่างถูกต้อง มีจำนวน 50,000 คน ประมาณว่าคนไทยที่อยู่ในเยอรมนี ทั้งถูกและผิดกฎหมายรวมไม่ต่ำกว่า 70,000 คน อาหารไทยเป็นที่นิยมของชาวเยอรมัน จึงมีร้านอาหารไทยตั้งอยู่ตามเมืองใหญ่ทุกเมือง อาทิ ในเบอร์ลินมีประมาณ 80-100 ร้าน การเช่







ภูมิอากาศ

ภูมิอากาศในเยอรมนีจะแตกต่างกันในแต่ละเมือง โดยอุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูหนาวที่ราบ 1.5 องศาเซลเซียส และเทือกเขาจะอยู่ที่ -6 องศาเซลเซียส ส่วนค่าอุณหภูมิเฉี่ยในช่วงเดือนกรกฎาคมจะอยู่ที่ 18-20 องศาเซลเซียส



ประชากร 
ปัจจุบันมีประชากรทั้งสิ้น 82.3 ล้านคน (แบ่งเป็นผู้หญิง 42.0 ล้านคน) นอกจากนี้ยังมีชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในเยอรมนีถึง 7.3 ล้านคน (คิดเป็น 8.8 เปอร์เซนต์ของประชากรทั้งหมด
โครงสร้างอายุ : ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี คิดเป็นร้อยละ 14  และผู้ที่อายุมากกว่า 65 ปี คิดเป็นร้อยละ 20.
ศาสนา : นับถือศาสนาคริสต์ประมาณ 52 ล้านคน ศาสนาอิสลาประมาณ 4 ล้านคน ศาสนาพุทธประมาณ 235,000 คน และศาสนายิวอีก 106,000 คน อย่างไรก็ตามกฎหมายได้ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาและไม่มีโบสถ์ประจำชาติแต่อย่างใด

ภาษา : ภาษาเยอรมัน
เป็นภาษากลุ่มเจอร์เมนิกด้านตะวันตก และเป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแม่มากที่สุดในสหภาพยุโรป ส่วนใหญ่พูดในประเทศเยอรมนี ออสเตรีย ลิกเตนสไตน์ ส่วนมากของสวิตเซอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก แคว้นปกครองตนเองเตรนตีโน-อัลโตอาดีเจในอิตาลี แคว้นทางตะวันออกของเบลเยียม บางส่วนของโรมาเนีย แคว้นอัลซาซและบางส่วนของแคว้นลอร์แรนในฝรั่งเศส
นอกจากนี้ อาณานิคมเดิมของประเทศเหล่านี้ เช่น นามิเบีย มีประชากรที่พูดภาษาเยอรมันได้พอประมาณ และยังมีชนกลุ่มน้อยที่พูดภาษาเยอรมันในหลายประเทศทางยุโรปตะวันออก เช่น รัสเซีย ฮังการี และสโลวีเนีย รวมถึงอเมริกาเหนือ (โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา) รวมถึงบางประเทศในละตินอเมริกา เช่น อาร์เจนตินา และในบราซิล โดยเฉพาะในรัฐ รีโอกรันดีโดซูล ซันตากาตารีนา ปารานา และเอสปีรีตูซันตู
ชาวอามิช รวมถึงชาวเมนโนไนต์บางคนก็เป็นภาษาเยอรมันอย่างหนึ่ง ประมาณ 120 ล้านคน คือ 1/4 ของชาวยุโรปทั้งหมด พูดภาษาเยอรมัน ภาษาเยอรมันเป็นภาษาต่างประเทศที่สอนทั่วโลกมาเป็นอันดับ 3 และเป็นภาษาต่างประเทศที่สอนมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในยุโรป (เป็นรองภาษาอังกฤษ) สหรัฐอเมริกา และเอเชียตะวันออก (ประเทศญี่ปุ่น) เป็นหนึ่งในภาษาราชการของสหภาพยุโรป

ฮัมบวร์ก (Hamburg)
เป็นเมืองใหญ่อันดับสองในเยอรมนี และเมืองท่าออกทะเลที่สำคัญที่สุดของเยอรมนี และเป็นศูนย์กลางการค้าต่างประเทศอีกด้วย อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าฮัมบวร์กจะเป็นเมืองอุตสาหกรรมใหญ่ แต่ยังนับได้ว่าเป็นเมืองที่รักษาธรรมชาติไว้ได้อีกเมืองหนึ่ง ทั้งนี้ร้อยละ 40 ของพื้นที่ทั้งหมดที่เป็นเกษตรกรรม สวน อุทยาน และพื้นที่สีเขียว และอีกร้อยละ 28 ยังเป็นเขตคุ้มครองภูมิทัศน์ และคุ้มครองธรรมชาติ นอกเหนือจากเขตคุ้มครองและอุทยานแล้ว ยังมีต้นไม้ริมถนนอีกกว่า 240,000 ต้นอีกด้วย
สถานที่ท่องเที่ยวในฮัมบวร์ก ทั้งการชมทัศนียภาพอันงดงามริมแม่น้ำเอลเบกับแม่น้ำอัสส์เทอร์, ย่านเซนต์ เพารี กับถนนเรเพอร์บาน และโบสถ์มิเชล    

เมืองหลวง :Hamburg



เมคเคลนบวร์ก-ฟอร์พอมเมิร์น (Mecklenburg-Vorpommern)
ดินแดนหนึ่งพันทะเลสาบประกอบด้วยชายฝั่งทะเลหลายรูปทรง ทั้งเนินเตี้ย และที่ราบท้องทุ่งไร่นา  เศรษฐกิจที่สำคัญของรัฐนี้คือการเกษตรกรรม อาทิเช่น ธัญพืช, เมล็ดพืชให้น้ำมัน และมันฝรั่ง  เนื่องจากร้อยละ 80 ของพื้นที่ทั้งหมดใช้ประโยชน์ทางด้านเกษตรกรรม



นีเดอร์ซัคเซน (Niedersachsen)
เป็นรัฐใหญ่อันดับสองของสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เกษตรกรรมเป็นเศรษฐกิจหลักของรัฐนีเดอร์ซัคเซน แต่อย่างไรก็ตามรรัฐนี้ยังมีอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ โดยบริษัทโฟคส์วาเกน (Volkswagen) ตั้งอยู่ในเมืองโวฟส์บวร์ก (Wolfsburg) บรษัทนี้จะมีมูลนิธิโฟคส์วาเกน ซึ่งเป็นมูลนิธิเอกชนเยอรมันใหญ่ที่สุด
นอกจากนี้นีเดอร์ซัคเซนยังมีมหาวิทยาลัยทั้งหมด 11 แห่ง โดย 2 แห่งจะเป็นมหาวิทยาลัยศิลปกรรม และยังมีวิทยาลัยเฉพาะด้าน 13 แห่ง สถาบันเพื่อการวิจัย 120 แห่ง
เมืองหลวง :Hanover

เบอร์ลิน (Berlin)
เป็นเมืองหลวงของประเทศ ตั้งแต่ปี 1990 เป็นศูนย์กลางทางการเมือง, วัฒนธรรม โดยมีเทศกาลทหนังเบอร์ลิน ซึ่งรู้จักกันอยู่ทั่วโลก อีกทั้งเบอร์ลินยังเป็นเมืองแห่งการศึกษา เนื่องจากมีสถาบันอุดมศึกษามากที่สุด คือมหาวิทยาลัยทั้งสิ้น 17 แห่ง และวิทยาลัยศิลปะและดนตรีอีก 6 แห่ง



อาหารการกินของประเทศเยอรมันนี

Pork Knuckle (Schweinshaxe): ขาหมู ชไวนส์ฮักส์ซ
อาหารที่นิยมที่สุด กรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟกับกะหล่ำปลีดอง มันฝรั่งผัดและมัสตาร์ด



Curry Sausage (Curry Wurst) - ไส้กรอกเยอรมัน ผงกะหรี่ เคอรี่ วรุสต์
ย่างกับเครื่องปรุง ซอสมะเขือเทศ ผงกะหรี่ต่างๆ เสิร์ฟ กับเฟร้น ฟรายส์ ของขบเคี้ยวสูตรเบอร์ลิน



Cordon Bleu – กอร์ดอน เบลอ หมูทอดสอดไส้ชีส และแฮม


Bread dumplings (Knoedel) – เกี๊ยวซ่า ขนมปัง เคอเนอเดล เกี๊ยวซ่ากลมต้ม ทำจากแป้งขนมปังขาวรับประทานกับขาหมูแทนมันบด

ขนมปังเยอรมัน ชนิดต่างๆ


Lye rolls and Pretzels – ลาย โรล และเพรทเซล
ขนมปังแป้งนุ่ม เปลือกนอกกรอบ รับประทานให้ได้รสชาดโดยการทาเนย ไส้กรอกขาว หรือเป็นของขบเคี้ยวกับเบียร์ก็ได้
                                        





Sourdough Bread – ซาวเออร์ โด ขนมปังดำ มีรสชาดเปรี้ยวที่โดดเด่น ทาเนยรับประทานกับของเย็น หรือเคียง บราตวรุสต์


การรับประทานอาหารเยอรมันแบบต้นตำหรับต้องรับประทานพร้อมกับเบียร์ เบียร์เยอรมันนั้นราคาสูงแต่ถ้าราคาไม่ใช่ประเด็น เราขอแนะนำเบียร์จากข้าวสาลี (ไวเซ่นเบียร์) อาทิเช่น เอร์ดิงเกอร์ หรือไวเฮนสเตฟาน หรือ เบียร์เยอรมัน ลาเกอร์ ตัวอย่างเช่น วาร์สไตเนอร์ บิทส์บูรเกอร์ เพาลาเนอร์ โอเคยกแก้ว! โพรสท์
ภาพพจน์ของประเทศเยอรมันนี คือดินแดนแห่งเบียร์ ไส้กรอก และผักดอง ซึ่งรู้จักกันทั่วโลกในเทศกาล อ๊อกโทเบอร์เฟส